6.อารยธรรมอิสลาม

                        à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ อารยธรรมอิสลาม

อารยธรรมอิสลาม หมายถึง ความก้าวหน้าที่ได้รับแรงดลใจมาจากอิทธิพลของศาสนาอิสลาม 
สร้างขึ้นโดยชาวมุสลิมเชื้อชาติต่าง ๆ แต่เนื่องจากศาสดามุฮัมมัดผู้ประกาศศาสนาเป็นชาวอาหรับ 
ดังนั้น กลุ่มอาหรับจึงมีบทบาทสำคัญในการให้กำเนิดอารยธรรมอิสลาม
          คาบสมุทรอาหรับในช่วงระยะที่อารยธรรมอิสลามถือกำเนิดเป็นดินแดน ซึ่งประชากร
แบ่งแยกออกเป็น เผ่านักรบหลายเผ่า ต่างก็มีวิถีชีวิตที่อาจแบ่งออกเป็นสองแบบ คือ พวกที่เร่ร่อน
ตามทะเลทรายซึ่งเรียกกันว่า พวกเบดูอิน ( Bedouinsมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ จึงต้องเดินทางเร่ร่อน
เพื่อแสวงหาทุ่งหญ้าและบ่อน้ำ ทำให้ไม่สามารถหยุดตั้งหลักแหล่งได้ พวกเร่ร่อนบางกลุ่ม
ทำการเกษตร จึงตั้งถิ่นฐานชั่วคราวตามบริเวรโอเอซิส(Oasis) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำในทะเลทราย 
การดำเนินชีวิตอีกแบบหนึ่งคือพวกตั้งหลักแหล่งในเมืองยึดการค้าเป็นอาชีพ ด้วยเหตุที่เมือง
ในคาบสมุทรอาหรับสมัยนั้นมักตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าและเป็นเมืองท่าที่จอดพักของกองคาราวาน 
ชาวเมืองเหล่านี้จึงแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าจนมั่งคั่งร่ำรวย เช่น ชาวเมืองมักฮ์ (เมกกะ) เป็นต้น
           แม้ว่าอารยธรรมอิสลามจะถือกำเนิดจากชนเผ่าที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองก็ตาม แต่อิทธิพล
ของวัฒนธรรมของชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายก็ปรากฏเด่นชัดอยู่ในพัฒนาการของอารยธรรมอิสลาม
ทั้งนี้เพราะความผูกพันกันทางสายเลือดและขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่ชนทั้งสองพวก 
ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมของชนเผ่าเร่ร่อนมีความสำคัญต่อพัฒนาการของอารยธรรมอิสลาม 
เนื่องจากความแห้งแล้งของทะเลทรายมีอิทธิพลต่อระบบความคิด สังคม ตลอดจนขยบธรรมเนียม
ประเพรีและวัฒนธรรมของชาวอาหรับ การอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นกิจกรรมในทะเลทราย
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ทำให้ชนเผ่าเร่รอนรักอิสรภาพและยากที่จะปกครองหรือบังคับบัญชา 
ประวัติศาสตร์ของการสร้างจักรวรรดิอาหรับ แสดงให้เป็นว่าผู้นำที่สามารถพิสูจน์ตนเองว่า
เป็นผู้เคร่งศาสนา สามารถดูงดูดความศรัทธาได้ เป็นนักรบที่เข้มแข็งและเป็นนักบริหาร
ที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น จึงจะได้รับความจงรักภักดีจากชนเผ่าอาหรับและรักษาความ
เป็นอันหนึ่งอันเดียวของจักรวรรดิไว้ได้ หากเมื่อใดที่ฐานอำนาจจากศูนย์กลางเสื่อมลง 
จักรวรรดิก็จะเริ่มแตกแยกออกจากกันและทำสงครามเข่นฆ่ากันเอง
            ความแห้งแล้งทุรกันดารของทะเลทรายก็ดี การมีชีวิตยากลำบากต้องสู้เพื่ออยู่รอดก็ดี 
ทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านั้นมีความกล้าหาญ อดทน เป็นนักรบที่เข้มแข็ง ครั้นเมื่อยอมรับศาสนา
อิสลาม มีผู้นำที่สามารถและเข้มแข็ง เป็นนายทัพ ประกอบกับมีความเชื่อว่าการทำสงคราม
ปกป้องศาสนาจะทำให้ ได้ไปสู่ชีวิตที่มีความสุขในสวรรค์ กองทัพอาหรับจึงได้ชัยชนะในการรบ
ได้อย่างรวดเร็ว จึงเห็นได้ว่า แรงศรัทธาในศาสนาอิสลาม ประกอบกับความกล้าหาญ แข็งแกร่ง
อดทน และชนเผ่าเร่ร่อนชาวอาหรับทำให้เกิดจักรวรรดิอิสลาม ซึ่งสร้างขึ้นด้วยการชนะสงคราม 
ความจำเป็นที่จะต้องรักษาตัวให้รอดพ้นจากการฆ่าฟันทำลายล้างกัน และเพื่อดำรงชีพใน
ทะเลทรายอันประกอบด้วยภัยอันตรายได้ทำให้ชนเผ่าเร่ร่อน ชาวอาหรับรู้จักสร้างขนบธรรมเนียม
ประเพณีขึ้น และยึดถือราวกับเป็นกฎหมายของตน ขนบธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ ประกอบกับภาษา
อาหรับซึ่งแต่ละเผ่าสามารถใช้และเข้าใจกันได้ นับเป็นรากฐานของวัฒนธรรม และความเป็นชาติหนึ่ง
ชาติเดียวกันของชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ ตัวอย่างขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่าเร่ร่อน 
เช่น การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในกระโจมเพื่อสะดวกแก่การอพยพ ครอบครัวหนึ่งจะอาศัยอยู่
ในกระโจมหนึ่งหลาย ๆ ครอบครัวจะเดินทางเร่ร่อนไปด้วยกันเป็นกลุ่ม สมาชิกทุกคนของกลุ่ม
ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือนับญาติกันได้ นับว่าอยู่ในสกุลเดียวกัน มีผู้อาวุโสของสกุล
เป็นหัวหน้า สกุลต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือมีความปรารถนาจะรวมกัน
ก็สามารถรวมกันเป็นเผ่า มีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่อยู่ในสกุลเดียวกันหรือสังกัดเผ่าใดเผ่าหนึ่ง
ย่อมจะได้รับความพิทักษ์ปกป้องอันตรายด้วย
          ก่อนเกิดศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละเผ่าจะมีเทพจ้าประจำเผ่า
มีศาลเทพารักษ์ สำหรับเทพเจ้าของตน เพื่อให้สมาชิกเผ่าเดินทางมานมัสการประจำปี
นอกจากเทพเจ้าประจำเผ่าแล้ว แต่ละเผ่าก็ยังนับถือเทพเจ้าอีกมากมายหลายองค์ 
รวมทั้งยังนับถือธรรมชาติแวดล้อม เช่น น้ำพุ ต้นไม้ และ หิน เป็นต้น เทพเจ้าบางองค์และ
ปูชนียสถานบางแห่งอาจเป็นที่ที่ชมทุกเผ่าในอาหรับนับถือเหมือนกันหมดมิได้ 
เช่น หินดำทรงกลมใน ปูชนียสถาน กะฮ์บรอที่เมืองเมกกะ เป็นสถานที่ที่ชนเผ่านับถือว่าศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าหลายองค์และพากันเดินทางมานมัสการเป็นประจำปี ในบรรดาเทพเจ้า
ทั้งหลาย ชนเผ่าต่าง ๆ ในอาหรับนับถือพระอัลลอฮ์ เป็นเทพเจ้าสูงสุด เพราะเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
ทั้งหลาย ในการทำพิธีบูชาเทพเจ้านั้น ชาวอาหรับมักใช้เลือดบูชายัญ เพราะเชื่อว่าเพื่อ
สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างเพทเจ้ากับเผ่าของตนโดยทั่วๆ ไป การปฏิบัติศาสนาก็ดูจะเป็นเรื่อง
ขนบธรรมเนียมประเพณีของเผ่ามากกว่า จึงปรากฏอิทธิพลของอารยธรรมต่างๆ ในดินแดนอาหรับ 
โยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลของคริสต์ศาสนา และศาสนายิว ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 อิทธิพล
ของศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวมีพลังรุนแรงขึ้น กลุ่มขาวอาหรับผู้ใฝ่ฝันที่จะคิดเกี่ยวกับศาสนา 
ให้ลึกซึ้ง เห็นว่าศาสนาที่ตนนับถืออยู่ ไม่อาจตอบสนองความต้องการของตนได้ 
ในช่วงระยะนี้มักมีเรื่องเกี่ยวกับศาสดาผู้พยากรณ์เกิดขึ้นบ่อย ๆ ชี้ให้เห็นอิทธิพลของการนับถือ
พระเจ้าองค์เดียว และแสดงว่า ชาวอาหรับเริ่มแสวงหาทางไปสู่การนับถือพระเจ้าองค์เดียว 
แทนการนับถือเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ดังแต่ก่อน ในวาระนั้นเองศาสดาก็ปรากฏตัวขึ้น
เพื่อตอบสนองสิ่งที่ชาวอาหรับแสวงหา
                                
  อารยธรรมของอิสลาม จักรวรรดิมุสลิมมีความเจริญรุ่งเรืองในแถบตะวันออกกลาง 
เพราะอิทธิพลของการนับถือพระเจ้าพระองค์เดียว ชาวมุสลิมมาประดิษฐ์เลขอารบิกที่ใช้กันทั่วโลก
ในปัจจุบัน ผลงานเด่น  ของอารยธรรมอิสลามที่มีต่อโลก คือ เรื่องการแพทย์ 
ซึ่งเป็นต้นฉบับตำราแพทย์ปัจจุบัน โดยมหาวิทยัลเลอลาโนในประเทศสเปน 
เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งแรกของโลก นอกจานี้ชาวมุสลิมก็ยังมีผลงานด้านฟิสิกส์
และเป็นเค้าโครงทางวรรณคดียุโรปปัจจุบัน นักวิชาการทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า 
"อารยธรรมอิสลามเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกให้ประสานกัน"


อมอไรท์ (The Amorites)
                ชนทะเลทรายเผ่าหนึ่ง คือ อมอไรท์ได้เข้ายึดครองกรุงบาบิโลนเมื่อ 2000 B.C. 
บาบิโลนเข้มแข็งขึ้นตามลำดับจนได้เป็นนครใหญ่ของอาณาจักร
เมโสโปเตเมียทั้งหมด ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายว่าจักรวรรดิบาบิโลเนีย 

พวกบาบิโลนสามารถเอาชนะบรรดาเพื่อนบ้านคือพวกอัคคาเดียน และสุเมเรียนได้
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงมากพระองค์หนึ่งคือ กษัตริย์ฮัมมูราบี ผู้ทรงสร้างประมวลกฏหมายที่มีชื่อว่า 

“The Code of Hammurabi”
ความเจริญของอาณาจักรบาบิโลเนียเก่าในสมัยของกษัตริย์ฮัมมูราบี
                พระเจ้าฮัมมูราบีทรงเป็นกษัตริย์ที่สามารถรวบรวมดินแดนแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรตีส 
เข้าไว้ในอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และสถาปนารัฐบาลที่เข้มแข็งขึ้น
ปกครองบาบิโลนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีความหมายสำคัญกลายเป็นศูนย์กลาง

ของนักปราชญ์ราชบันฑิตเป็นจักรวรรดิบาบิโลเนียแรก (First Babylonian Empiire)
ทรงปกครองอยู่ 43 ปี (1792-1750 B.C.) ทรงมีผลงานสำคัญ คือ

การร่างประมวลกฎหมาย (Hammurabi Code)  พระเจ้าฮัมมูราบีทรงเป็นที่รู้จักในฐานะเป็น
ผู้สร้างประมวลกฎหมายเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรมแห่งชีวิตด้วย ทรงกล่าวถึง
วัตถุประสงค์ในการจัดทำประมวลกฎหมายว่า เพื่อผดุงความยุติธรรมให้คงอยู่ในแผ่นดิน 
ทำลายคนชั่วและคนร้าย ป้องกันคนแข็งแรงข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า...และเพื่อพัฒนาสวัสดิการ
สำหรับประชาชน” ประมวลกฎหมายนี้จารึกอยู่บนแผ่นดินไดโดไรท์สีดำ ขนาดสูง ฟุต 
จารึกด้วยอักษร Cuniform ประมวลกฎหมายนี้ประดิษฐ์ไว้ในวิหารของเทพมาร์คุด (marduk)
ซึ่งเป็นเทพสูงสุดของบาบิโลน นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบแผ่นหินดังกล่าวในปี ค.ศ. 1901 
ตอนบนของแผ่นหินมีรูปแกะสลักภาพเทพเจ้ากำลังประทาน ประมวลกฎหมายให้แก่ ฮัมมูราบี 
แผ่นหินนี้นับเป็นโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งในทางประวัติศาสตร์ เพราะข้อความในประมวลกฎหมาย
สะท้อนให้เห็นถึงสภาพของสังคม Babylonia ในสมัยนั้นเป็นอย่างดี ทำให้เราทราบว่า Babylonia 
ประกอบขึ้นด้วยคนชั้นต่างๆ คือ กรรมกรและทาส